29/9/53

วิธีง่ายๆ เิพิ่มความเร็วอินเตอร์เนต


ติดจรวดเล่นอินเตอร์เน็ตให้กับ Windows XP
การใช้งานอินตอร์เน็ตบางครั้งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายด้าน 

เราก็ พยายามหาหนทางปรับแต่งให้ถูกใจและถูกเงิน 
วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้การท่องอินตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 
1. คลิกที่ปุ่ม Start
2. เลือกที่แถบรายการ Run
3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วคลิก OK
4. จะแสดงหน้าต่างของการปรับแต่ง Group Policy
5. ที่ Computer Configaration เลือกแถบ Administrative Templates
6. หัวข้อ Network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
7. มองหน้าต่างด้านขวามือ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwidth
8. จะปรากฎกรอบหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwidth Properties
9. เลือกแถบ Setting คลิกที่ช่อง Enable
10. ในช่อง bandwidth limit (%) : ปรับค่าเป็น 0
11. คลิก OK เพื่อยืนยันการใช้งาน แค่นี้เองลองนำไปไช้ดูครับ
 

23 วิธีเร่งสปีด Windows XP






1. ลดเวลาการ boot เครื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยอย่าเอาเงินไปละลายกับ software ที่ช่วย defrag เนื่องจาก defrag ของ windows นั้นใช้งานได้ดีอยู่แล้ว เอาเงินไปซื้อ HD Ultra-133 หรือ SATA ที่มี cache 8 MB จะดีกว่า

2. ถ้า RAM น้อยกว่า 512 ก็ซื้อมาเพิ่มซะ นี่เป็นวิธีที่ไม่แพงและสามารถ upgrade ได้ง่าย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องได้อย่างชัดเจน


3. ใช้ file system แบบ NTFS : หากคุณไม่รู้ว่ามันเป็น NTFS อยู่แล้วรึยัง ให้ double clcik ที่ my computer icon, คลิกขวาที่ drive C เลือก properties แล้วดูตรง File System type ถ้ามันเป็น FAT 32 อยู่ ก็ back-up ข้อมูลซะ จากนั้นเลือก Start Menu -> Run พิมพ์ cmd แล้วคลิก OK พอมีหน้าต่าง prompt ขึ้นมา ให้พิมพ์ convert c: /fs:ntfs แล้วกด enter โดยขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาสักหน่อย ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่มีอะไรรบกวน com คุณระหว่างที่มันทำงานอยู่ และเครื่องคุณต้องไม่ติดไวรัส


File System ของ drive ที่คุณใช้ boot นั้น อาจเป็น FAT32 หรือ NTFS ก็ได้ แต่เราแนะนำให้ใช้ NTFS เพื่อประโยชน์ในเรื่องของความปลอดภัย, ความน่าเชื่อถือ และการใช้งาน hd ใหญ่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4. Disable file indexing ซะ

เจ้า indexing service นี้จะดึงข้อมูลจากเอกสารและไฟล์บน hard drive ของคุณเอามาสร้างเป็นดรรชนีสำหรับค้นหา ซึ่งการทำเช่นนี้มันอาจจะทำให้เครื่องคุณทำงานหนักขึ้น

แนวคิดของมันคือ ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำ, วลี, หรือคุณสมบัติภายในเอกสารใดๆ ได้ ในกรณีที่เขามีไฟล์เอกสารเป็นร้อยหรือเป็นพัน และไม่รู้ชื่อเอกสารที่เขาต้องการค้นหา แต่โปรแกรม search ที่ติดมากับ Windows XP นั้นก็สามารถทำแบบนี้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้ indexing service แค่มันจะใช้เวลานานกว่าเท่านั้น เนื่องจาก OS ต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาทีละไฟล์เพื่อค้นหาสิ่งที่ user ต้องการ


คนส่วนใหญ่ไม่เคยต้องการ feature search แบบนี้หรอก คนที่ต้องการจะเป็นพวกที่อยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีเอกสารเป็นพันๆ ซึ่งอยุ่บน server อย่างน้อย 1 ตัว แต่หากคุณเป็นพวกวางระบบธรรมดาๆ แล้ว ลูกค้าของคุณมักจะเป็นธุรกิจขนาดกลางหรือเล็กเสียมากกว่า และถ้าลูกค้าของคุณไม่ได้ต้องการ feature แบบนี้ เราแนะนำให้คุณ disable มันซะจะดีกว่า


วิธีทำ: double click My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties แล้วยกเลิก "Allow Indexing Service to index this disk for fast file searching." ซะ -> Apply change ให้กับ "C: subfolders and files," -> OK และถ้ามี error message เช่น "Access is denied" ปรากฏขึ้นมา ก็ให้เลือก Ignore All ซะ


5. Update driver ให้กับ VGA และ Chipset ของ Mainboard และ config ค่าต่างๆ ใน BIOS ใหม่ โดยวิธี config BIOS อย่างถูกต้องนั้น หาอ่านได้จากบทความใน site ของผมเองครับ (..เจ้าของกระทู้เอามาจากเว็บไหนครับ?)


6. สั่ง Empty Windows Prefetch folder ทุกๆ 3 เดือน

Windows XP สามารถคะเนได้ว่า data ส่วนไหนที่มันใช้บ่อยๆ มันจะดึงมาเก็บเตรียมไว้ใน prefetch folder ทำให้ process หลายๆ ตัวดูเหมือนจะทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็น feature ที่ดี แต่พอนานๆ เข้า เจ้า prefetch folder นี้จะมีข้อมูลมากเกินไป โดยที่บางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้งานอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ Windows เสียเวลาดึงมันขึ้นมาทำงานมากเกินความจำเป็นและทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง

ไม่มีข้อมูลสำคัญเก็บอยู่ใน folder นี้ ดังนั้นคุณสามารถลบ file ใน folder นี้ได้ทั้งหมด


7. ใช้ disk cleanup ทุกเดือน

โดย double click ที่ My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties -> กดปุ่ม Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลม และเลือกลบ temporary file ทั้งหมด

8. ที่ Device Manger -> double click ที่อุปกรณ์ IDE ATA/ATAPI Controllers และดูว่ามีการใช้งาน DMA กับทุก drive ที่ติดต่ออยู่กับ Primary และ Secondary Controller หรือไม่

โดยการ double click ที่ Primary IDE Channel -> เลือก tab Advanced Settings และตรวจสอบว่า Transfer Mode ถูก set เป็น "DMA if Available" ทั้ง Device 0 และ Device 1 หรือไม่ และทำอย่างเดียวกันกับ Secondary IDE Channel

9. เปลี่ยนสาย cable

เทคโนโลยีของ hard disk พัฒนาขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้สาย cable ที่จะดึงประสิทธิภาพมันออกมาได้ ตรวจสอบว่าคุณใช้ cable แบบ Ultra-133 (80 สาย) กับอุปกรณ์ IDE ทุกตัว ถ้าสายนั้นต่อกับอุปกรณ์ชิ้นเดียว อุปกรณ์นั้นต้องต่ออยู่กับ connector ที่ปลายสาย หากต่อกับ connector ตรงกลางสาย จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณ ซึ่งสำหรับ hard disk แบบ Ultra DMA แล้ว ปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณนี้จะมีผลให้ drive ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อีกทั้งสายเหล่านี้ support feature "Cable Select" ตำแหน่งของอุปกรณ์บน cable จึงมีความสำคัญ (ใครแปลได้เข้าใจกว่านี้ไหมครับ)


10. กำจัด spyware ออกให้หมด

โดยใช้ freeware เช่น AdAware ของ LavaSoft หรือ SpyBot Search & Destroy โดยเมื่อคุณ install โปรแกรมพวกนี้แล้ว ให้ download update ล่าสุดของมันลงมาที่เครื่องคุณ ก่อนที่จะเริ่ม scan และสิ่งใดที่โปรแกรมหาพบนั้น สามารถลบออกได้อย่างปลอดภัยทั้งสิ้น แต่ freeware ที่ require ว่า spyware เหล่านี้จะต้องมีอยู่จะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปหากส่วนหนึ่งส่วนใดของ spyware ถูกลบออกไป แต่ถ้าลูกค้าของคุณต้องการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งจริงๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะมี spyware ติดมาด้วยหรือไม่ คุณก็คงต้องลงโปรแกรมนั้นให้เขาใหม่ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลบ spyware ให้ดูที่หน้า Web Pro News (เว็บไหนล่ะเนี่ย)

11. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกจาก Startup ด้วย MSCONFIG

โดยเลือก Start -> Run -> พิมพ์ msconfig -> คลิก ok -> เลือก tab StartUp และคลิกเลือก item ที่คุณไม่ต้องการให้ load ตอน startup ออกเสีย หากคุณไม่แน่ใจว่าแต่ละตัวมันคืออะไร ให้เข้าไปดูที่ WinTasks Process Library (มี link รึเปล่าครับ ตัวนี้?) มันจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ system process และโปรแกรมที่พบกันบ่อยๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ spyware และคำอธิบาย หรืออาจจะหาข้อมูลของมันอย่างรวดเร็วโดย search ชื่อไฟล์นั้นๆ ใน search engine อย่าง google เลย

12. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออก ด้วย Add/Remove Programs ใน Control Panel


13. ยกเลิกการใช้งาน Active Desktop และ animation ทุกชนิดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

โดย double click icon System ใน control panel -> เลือก tab Advanced -> กดปุ่ม settings ในส่วนของ Performance โดยคุณสามารถทดลองปรับอะไรเล่นๆ ที่นี่ได้ทั้งหมดเนื่องจากมันไม่มีผลกระทบกับเสถียภาพของเครื่องคุณ ยกเว้นเรื่องความไวของการตอบสนอง

14. ถ้าคุณเป็นพวก advanced user ที่ไม่กลัวการแก้ไข registry ให้ลองใช้งานโปรแกรม Tweak XP ในส่วนของ performance registry tweak


15. แวะไปที่ Windows Update ของ MS บ้าง และ download update ที่ระบุว่า "Critical" มาลงที่เครื่อง ส่วน update อื่นๆ นั้นก็ตามแต่คุณเห็นสมควร


16. update Anti-Virus ทุกสัปดาห์หรือทุกวัน

โดยลงโปรแกรม anti-virus แค่ตัวเดียวเท่านั้น การลง anti-virus หลายตัวมีผลอย่างรุนแรงกับประสิทธิภาพและเสถียรภาพของเครื่องคุณ

17. ตรวจสอบว่ามี font น้อยกว่า 500 ตัวบนเครื่องคุณ

ยิ่งคุณลง font เยอะ windows คุณก็ยิ่งช้า แม้ว่า Xp จะจัดการ font ได้ดีกว่า OS version ก่อนๆ แต่ font ที่มีจำนวนมากกว่า 500 จะทำให้ประสิทธิภาพเครื่องคุณลดลงอย่างชัดเจน

18. อย่าแบ่ง partiton เพราะว่า NTFS ของ Windows XP ทำงานได้ดีกว่าบน partition ขนาดใหญ่เพียง partition เดียว การแบ่ง partition ไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณ และการ format ใหม่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปหากคุณต้องการ reinstall OS


การแบ่ง partition สามารถทดแทนได้ด้วยการใช้ folder เช่น แทนที่คุณจะเก็บ data ไว้ใน drive D คุณก็สร้าง folder 'D drive" ขึ้นมาแทน ซึ่งมันได้ประโยชน์เช่นเดียวกับการแบ่ง partition แต่มีข้อดีกว่าคือไม่ทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง และทำให้พื้นที่ว่างไม่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ partition อีกต่อไป (แต่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ hard disk ของคุณแทน) หมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้อง resize partition อีกต่อไป ซึ่งเป็นการเสียเวลาและเสี่ยงกับข้อมูลหายด้วย


19. ตรวจสอบ RAM ว่าทำงานอย่างถูกต้อง

เราแนะนำให้ใช้โปรแกรม MemTest86 โดยหลังจาก d/l มาแล้ว มันจะสร้างแผ่น CD หรือ diskette ที่ boot ได้ (แล้วแต่คุณจะเลือก) ที่จะทำการทดสอบ 10 อย่างโดยอัตโนมัติหลังจากที่คุณใช้มัน boot เครื่อง ให้ run มันอย่างน้อยสามครั้ง (ครั้งละ 10 test) ถ้าโปรแกรมพบ error ให้คุณปิดเครื่อง, ถอดปลั๊ก, ถอด RAM ออกแผงหนึ่ง (ถ้าคุณมีมากกว่าแผงเดียว) แล้วทำการ run ใหม่อีกครั้ง จำไว้ว่า RAM เสียนั้นซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น

20. ถ้าเครื่องคุณมี CD หรือ DVD writer ให้เช็ค web ของผู้ผลิตว่ามี firmware ให้ update หรือไม่ บางทีคุณอาจจะสามารถ upgrade writer ของคุณให้ทำงานเร็วขึ้นได้ และที่เยี่ยมที่สุดคือ วิธีนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ


21. ยกเลิกการใช้งาน service ที่ไม่จำเป็น

Windows XP จะ load service ขึ้นมาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยหลายๆ ตัวนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ให้ตรวจสอบว่า service ใดที่คุณสามารถ disable ได้จาก Black Viper site for Windows XP configurations (ไม่มี link อีกแล้วอ่ะ)

22. ถ้าคุณเจอปัญหา Windows Explorer ตัวหนึ่ง hang และทำให้ระบบคุณพลอยพังไปด้วย ให้ใช้วิธีนี้

เปิด My Computer -> เลือก menu Tools -> Folder Options -> เลือก tab View -> เลื่อนลงมาด้านล่างจนพบ "Launch folder windows in a separate process" ให้ enable option ตัวนี้ซะ แล้ว reboot

23. เปิด case ของคุณออกอย่างน้อยปีละครั้ง แล้วเป่าเอาฝุ่นออก รวมถึงตรวจสอบว่าพัดลมทุกตัวยังทำงานเป็นปกติ และสังเกตดูที่ตัว capacitor แต่ละตัวบน mainboard ด้วยว่ามีอาการบวมหรือรั่วหรือไม่

โหลดกันแรงๆ กับ Internet Download Manager



 Internet Download Manager (IDM) เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลด และมีระบบทำตารางเวลาการดาวน์โหลด พร้อม การกู้คืนข้อผิดพลาดใน การ ดาวน์โหลดที่ไม่ถูกต้องหรือ ดาวน์โหลดได้ไม่ต่อเนื่องจากการเชื่อมต่อที่หายไปหรือปัญหา เครือข่าย shutdowns ไปขณะทำการดาวน์โหลดข้อมูลอยู่ Internet Download Manager มี อินเทอร์เฟซสำหรับผู้ใช้ ที่ง่ายทำให้ผู้ใช้ IDM เป็นมิตรกับมันมากๆ ทั้งนี้เคล็ดลับความเร็วในการดาวน์โหลดด้วย IDM คือ ระบบแบ่งไฟล์ดาวน์โหลดเป็นแพ็คเก็ตย่อยๆ ซึ่งจะแตกต่างจากการดาวน์โหลดแบบอื่นๆ ที่จะดาวน์โหลดไฟล์มาทั้งหมดทำให้ดาวน์โหลดช้ามากๆ และไม่ต่อเนื่องอีกด้วย เช่น ระบบการดาวน์โหลดที่แถมมากับ IE เป็นต้น

ทดลองโหลดมาใช้ฟรีได้ที่ http://www.internetdownloadmanager.com/





เปลี่ยน Wallpaper ของ Win 7 เป็น Slide Show



ความพิเศษของ Windows 7 นอกจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความสวยงามน่ามองของตัวหน้าต่าง windows และภาพประกอบต่างๆ บนตัว Windows 7 เองก็น่าสนใจไม่น้อยครับ อย่างเช่นลูกเล่น การสลับภาพพื้นหลังหรือที่เรียกว่า Slide show ของตัว Wallpaper นั้นเขาก็ได้เตรียมไว้ให้เราปรับใช้งานกันแล้ว…เพื่อเอาไว้แก้อาการน่า เบื่อเวลาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ครับ…ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วละครับว่าจะปรับใช้งานมันหรือเปล่า อิอิ.
01
อันดับแรกให้คลิกขวาที่หน้าจอว่างๆ แล้วกดที่เมนู Personalize
02
จาก นั้นสังเกตที่ด้านล่างของหน้าต่างใหม่ที่ปรากฏขึ้น เราจะเห็นเมนูที่ชื่อ Desktop Background Slide show ปรากฏอยู่…ให้กดเข้าไปที่ตรงนั้นเลยครับ
03
เรา ก็จะพบภาพ Wallpaper เยอะแยะเต็มไปหมดครับ โดยถ้าอันไหนอยากให้มันวิ่งสลับวนเป็นภาพแบบสไลน์ก็ให้ติ๊กเครื่องหมายถูก หน้ารูปภาพนั้นๆ จากนั้นในช่องหมายเลข 2 เราก็ปรับเวลาว่าจะให้มันแสดงห่างกันกี่นาทีดี…เสร็จแล้วก็กด Save changes เรียบร้อยครับ

firefox ท่องเว็บที่ดีกว่า
















Firefox คืออะไร
หลาย ๆ คนที่เล่นเน็ทเป็นเปิดเว็บไซท์เป็นคงจะรู้จักกับคำว่าเว็บบราวเซอร์ หรือโปรแกรมท่องเว็บ ส่วนใหญ่แล้วเราคงจะรู้จักกันแต่ Internet Explorer ของ Microsoft จอมผูกขาด คุณรู้หรือเปล่าว่า IE ที่คุณใช้อยู่นั้น ณ เวลาปัจจุบันมันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย เพราะว่าทางทีมงานเค้าไม่ได้พัฒนามานานแล้ว ฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องถามหา
ซึ่ง Firefox นั้นเป็นอินเทอร์เน็ทบราวเซอร์ตัวใหม่ที่จะเข้ามาแข่งกับ IE < Internet Explorer> นำทีมสร้างโดย Mozilla โดยมีนักพัฒนาต่อยอดอยู่ทั่วทุกมุมโลก คุณสมบัติของ Firefox ที่เด่นกว่า IE คือ โปรแกรมมีขนาดเล็กกว่าทำให้การโหลดข้อมูล ทางหน้าเว็บเพจทำได้รวดเร็ว  ใช้งานได้สะดวก  แท็บด้านบนทำให้ทำให้เข้าได้หลายเว็บไซด์พร้อมๆกันโดยไม่ต้องเปิด window ใหม่ อีกทั้งยังมีการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องอินเทอร์เน็ต เช่น เมนูของGoogle  สำหรับการค้นหาข้อมูล
Firefox ดียังไง
Firefox เป็น Browser  ที่มีกระแสการตอบรับอย่างรวดเร็วเมื่อต้นปี 2006 ซึ่งขณะนี้มีผู้ใช้ Browser ตัวนี้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน มียอดการ download ไปใช้งานเกือบ 300 ล้านครั้งแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า Firefox ต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดนักท่องเว็บเหล่านั้น จุดเด่นที่สำคัญของ Mozilla Firefox ที่น่ากล่าวถึงเป็นอย่างแรกคือ ความเป็นโปรแกรม open source ที่พัฒนาโดยองค์การที่ไม่หวังผลกำไรและคนทั่วไป (ที่มีความสามารถในการเขียนโปรแกรม) จะเรียกว่า โปรแกรมเพื่อประชาชนโดยประชาชนก็น่าจะได
คุณสมบัติที่น่าสนใจของ Firefox
เป็นโปรแกรม Free Download ไม่ต้องตรวจสอบอะไร โหลดมาใช้ได้เลย
ไฟล์ติดตั้งมีขนาดเล็ก ใช้เวลาในการดาวโหลดไม่นาน
ไม่แฮงค์บ่อย ปลอดภัยจาก  spy ware ต่างๆ
แก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีทีมงานพัฒนาอยู่ทั่วโลก มีการพัฒนาตลอดเวลา
สนับสนุนการใช้งานทั้ง Window  MAX OS และ Linux ด้วย
มีลูกเล่นต่างๆ มากมาย ที่ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาและการใช้งานได้ตามความถนัดของผู้ใช้ ด้วย themes, extensions  ต่างๆ มากมาย

สามารถโหลดมาใช้กันฟรีๆได้ที่ http://www.mozilla.com/th/

Portable Program คืออะไร

Portable Program คืออะไร
สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกคน เชิญทางนี้ครับ ผมมีสิ่งดีมากๆ มาแนะนำให้รู้จักกัน นั่นคือ Portable Program คือโปรแกรมที่สามารถติดตั้งลงในอุปกรณ์ภายนอกได้ เช่น Flash Drive, USB Hard disk Drive เป็นต้น ทำให้เราสามารถนำโปรแกรมนั้นๆ ไปใช้งานในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมแต่อย่างใด














http://www.portableapps.com

Portable Program หาได้จากที่ไหน
แหล่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถหาโปรแกรมที่เป็น Portable ได้นั่นคือเว็บไซต์ http://www.portableapps.com ซึ่งได้รวบรวมฟรีแวร์ โปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก และมาจัดทำใหม่ในรูปแบบของ Portable Program สำหรับวิธีการติดตั้งโปรแกรมนั้น จะเหมือนกับรูปแบบการติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ เพียงแต่เวลาติดตั้ง จะไม่มีการกำหนด Drive แต่มีคำสั่งให้เลือก Flash Drive ของเราเพื่อเลือกติดตั้ง

ตัวอย่าง Portable Program ที่น่าสนใจ
ClamWin Portable - ฟรีแอนตี้ไวรัส
7-zip Portable - โปรแกรมบีบอัดข้อมูล
FireFox Portable - เล่นอินเตอร์เน็ตด้วย FireFox
Gimp - โปรแกรมสำหรับตกแต่งรูปภาพ

Msn Plus วิธีสร้างเสียงสื่ออารมณ์

สำหรับคนที่ใช้ msn plus นะครับ ถ้าไม่ได้ใช้ โหลดได้ที่ http://msgplus.net/

ขั้นแรกคือ เปิดหน้าต่างคู่สนทนาเรามาก่อนครับ ในที่นี้ผมกำลังสนทนากับเพื่อนอยู่






กดที่รูปลำโพง



ทำตามรูปเลยครับ คลังเสียง





ในกรณีนี้ผมยกตัวอย่างการนำเสียงจาก ไฟล์เพลง ของเรานะครับ แนะนำ .mp3


....//// กดเสร็จแล้วมันจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้กดต่อไป

แล้วจะได้ดังรูป




เลือกไฟล์เพลง ในที่นี้ผมเลือก From the inside จาก LP (Linking Park)

ไม่อยากบรรยายละ ทำตามภาพครับผม

(ถ้ามีอะไรขึ้นมาโดยไม่ได้ให้เราตั้งค่าแนะนำให้กด ต่อไปๆ)






ถึงเวลาแล้วววว




ถ้า อยากได้ความยาวในการส่งเสียงแทนอารมณ์เยอะๆ แนะนำให้เลือก คุณภาพ:ปานกลาง  แต่หากคุณต้องการคุณภาพเสียงสูงก็ย่อมได้ แต่จะได้เวลาแค่ 8 วินาที...




ทำตามสัญชาตญาณของคุณไปเรื่อยๆในการตั้งค่า (ไม่อยากหรอก แต่ผมขี้เกียจเซฟน่ะ : P )


เสร็จแล้ว

เวลาจะใช้งานตามรูป





กดเสร็จแล้ววว !!


จะมีเสียงขึ้นมา

10 คำสั่งบน Keyboard
















ผู้ใช้งาน Microsoft Windows ทุกๆ เวอร์ชั่น โปรดทราบ วันนี้เรามีคำสั่งของ Windows ที่สามารถใช้งานได้ทุกๆ เวอร์ชั่นและน่าจะเป็นประโยชน์ในการใช้งานอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ใช้งานมือใหม่ คำสั่งที่ว่านี้จะเป็นคำสั่งที่เรียกโดยตรงผ่านทางแป้นพิมพ์ หรือ keyboard

TOP 10 คำสั่ง Keyboard สำหรับ Windows

  1. F1 เรียกคำสั่ง Help คิดอะไรไม่ออก หรือมีปัญหาใช้งาน Windows สามารถกดปุ่ม F1 เพี่อเรียก Help ของ Windows ออกมาดูได้ครับ
  2. F3 เรียกคำสั่ง Search สำหรับค้นหาข้อมูล หรือไฟล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
  3. Alt+Tab เรียกคำสั่ง แสดงรายการโปรแกรมต่างๆ ที่เราเปิดใช้งานอยู่ และสามารถเปลี่ยนไปยังโปรแกรมนั้นๆ ได้ทันที
  4. Alt+F4 เรียกคำสั่ง ปิดโปรแกรมที่ทำงานอยู่ปัจจุบัน
  5. Ctrl+A เรียกคำสั่ง เลือกทุกอย่าง (Select All) ใช้สำหรับการเลือกไฟล์ หรือเลือกข้อมูลที่เราต้องการ
  6. Ctrl+C เรียกคำสั้ง ทำสำเนา (Copy)
  7. Ctrl+X เรียกคำสั่ง ทำสำเนา (Cut) แต่จะลบไฟล์ต้นฉบับด้วย
  8. Ctrl+V เรียกคำสั่ง วางข้อมูลที่มีการทำสำเนา (Copy, Cut)
  9. Windows Logo + D เรียกคำสั่ง ให้ลดรูปโปรแกรมที่แสดงหน้าจอ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า minimize
  10. Windows Logo + R เรียกคำสั่ง "RUN" ของ Windows
คำสั่งต่างๆ เหล่านี้ สามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆ ได้ด้วยน่ะครับ ลองทดสอบใช้งานดูน่ะครับ รับรองจะติดใจ เหมือนกับผม

หมายเหตุ Windows Logo เป็นปุ่มสัญลักษณ์เครื่องหมายวินโดว์ส บนแป้นพิมพ์

Update Windows กันดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Windows Update คืออะไร

Windows Update คือการอัปเดทโปรแกรม security และโปรแกรมอื่นๆ ภายในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows ซึ่งเราสามารถอัปเดทได้ฟรีผ่านทางเว็บไซต์ของ Microsoft โดยไม่จำเป็นเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งการอัปเดทนี้จะมีการตรวจสอบ License ของ Windows ว่าเป็นของแท้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ของแท้ จะไม่สามารถอัปเดทแบบอัตโนมัติได้

Windows Update ทำงานอย่างไร

  1. เข้าเว็บไซต์ Windows Update หรือ คลิกที่นี่
  2. จากเว็บไซต์ จะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ว่ามีโปรแกรมอะไรติดตั้งอยู่ โดยเฉพาะโปรแกรม Windows
  3. จะมีปุ่มให้คลิกเลือก "Express" เพื่อให้โปรแกรมเลือกติดตั้งแบบอัตโนมัติ หรือ "Custom" เพื่อให้เราสามารถเลือกติดตั้งโปรแกรมได้
  4. เลือกปุ่มใด ปุ่มหนึ่ง
  5. Microsoft จะเริ่มตรวจสอบว่ามีโปรแกรมอะไรบ้างที่จำเป็นต้องติดตั้ง โดยเฉพาะโปรแกรมเกี่ยวกับ security ภายในเครื่องคอมฯ ของเรา

ประโยชน์ของการรันและติดตั้ง Windows Update

  1. ทำให้ Windows ของเรามีระบบรักษาความปลอดภัย หรือ Security ที่ดีขึ้น
  2. มีโปรแกรมฟรี ที่พัฒนาโดย Microsoft ที่สามารถ download มาใช้งานได้
  3. ลดปัญหาเรื่องของไวรัส และภัยจากอินเตอร์เน็ต (เนื่องจากมีระบบ security ที่สมบูรณ์มากขึ้น)
ทิป เราสามารถตั้งให้เครื่องคอมฯ ของเราตรวจสอบ Windows Update อย่างสม่ำเสมอได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้


วิธีตั้ง Windows Update แบบอัตโนมัติ

  1. คลิกขวาที่ My Computer เลือก Properties
  2. คลิกแท็ป Automatic Update
  3. คลิกเลือก Automatic (recommended)
  4. ตั้งเวลาในการ Update แนะนำให้เลือก Every day หรือทุกวัน
  5. คลิกปุ่ม Apply เพื่อ ยืนยัน
  6. แค่นี้ เครื่องคอมฯ ของเราก็สามารถลดปัญหาเกี่ยวกับไวรัสได้แล้วในระดับหนึ่ง

ต่อเนตผ่านมือถือ Nokia

โทรศัพท์มือถือหลายรุ่น หลายยี่ห้อ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ผ่านทาง GPRS/EDEG/3G แต่ติดปัญหาในเรื่องของขนาดของหน้าจอ ที่อาจจะเล็กไปสำหรับผู้ใช้งานหลายๆ คน รวมทั้งผมด้วย อีกทั้งไม่สะดวกในการ download file โปรแกรม เพื่อนำมาใช้งานอื่นๆ อีกด้วย วันนี้ผมมีวิธีในการเชื่อมต่อมือถือ Nokia ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต มาเล่าสู่กันฟัง

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์มือถือ

  • คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ laptop
  • โปรแกรม Nokia PC Suite
  • โทรศัพท์ Nokia พร้อม USB Cable

วิธีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์

  1. ติดตั้งโปรแกรม Nokia PC Suite (ทำตามหน้าจอไปเรื่อยๆ)
  2. ต่อสาย USB Cable ด้านหนึ่งกับโทรศัพท์ อีกด้านต่อเข้ากับ USB Port ของคอมพิวเตอร์
  3. ที่หน้าจอมือถือ จะแสดงข้อความว่าจะเชื่อมต่อแบบใด? (PC Suite, Printing & media, Data Strage) ให้เราเลือก PC Suite
  4. ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในส่วนของโปรแกรม Nokia PC Suite ให้คลิกเลือกไอคอน Connect to the Internet ดังภาพประกอบ
  5. Connect Internet Nokia PC Suite
  6. จะมีหน้าต่างแสดง One Touch Access และโปรแกรมจะเชื่อมต่อให้ทันที
  7. ถ้าต้องการยกเลิกให้คลิกปุ่ม Disconnect
  8. One Touch Access with Nokia
  9. หลังจากเชื่อมต่อได้แล้ว จะมีไอคอนเล็กๆ แสดงการเชื่อมต่ออยู่บริเวณ Taskbar ขวามือด้านล่าง
  10. ทดสอบเข้าโปแกรม Browser ที่คุณใช้งาน หรือลองเช็คอีเมล์ดูครับผม

ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

  • สามารถเชื่อมต่อผ่าน BlueTooth แทนสาย USB ได้เช่นเดียวกัน
  • ข้อความระวังเรื่องค่าใช้จ่ายของการเชื่อมต่อผ่านน GRPS/EDGE/3G ควรสอบถามกับบริษัทที่เราใช้บริการก่อนน่ะครับ

วิธีตรวจสอบ IP Address

IP Address คืออะไร

ไอพี แอสเดรต หมายเลขของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย ทำให้เราสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อมูลและบริหารจัดการได้ ลักษณะของหมายเลข IP Address เป็นหมายเลขกลุ่มหนึ่ง 4 ชุด เช่น 127.0.0.1 เป็นต้น

วิธีตรวจสอบ IP Address ของ Windows 95,98,ME

  1. คลิกปุ่ม Start
  2. คลิกเลือก Run
  3. พิมพ์ข้อมูล winipcfg และกดปุ่ม Enter
  4. จะได้ดังภาพประกอบ
check ip address windows 95,98,me

วิธีตรวจสอบ IP Address ของ Windows 2000, XP

  1. คลิกปุ่ม Start
  2. คลิกเลือก Run
  3. พิมพ์คำสั่ง "cmd" และกดปุ่ม Enter
  4. พิมพ์คำสั่ง "ipconfig" และกดปุ่ม Enter อีกครั้ง จะได้ดังภาพประกอบ
check ip address Windows 2000, XP

Top 10 Freeware ที่ควรมี
















หลายๆ คนอาจยังไม่เข้าใจว่าโปรแกรม Utility คืออะไร และเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ก่อนที่กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป ขอแนะนำให้ทราบว่า Utility หรือโปรแกรมอัตถประโยชน์ เป็นโปรแกรมเสริมในการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างโปรแกรม Utility ที่ใช้งานกันเป็นประจำ เช่น Winzip, PDFCreator เป็นต้น วันนี้จึงขอแนะนำโปรแกรม Utility ดีๆ ที่ควรมีไว้ประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราทุกคน บางโปรแกรมสามารถเก็บไว้บน Flash Drive ได้ด้วย



Top 10 Freeware Utility Program


No.
ชื่อโปรแกรม
รายละเอียดความสามารถ
1
7-Zip
โปรแกรมสำหรับบีบอัดข้อมูล และเปิดดูไฟล์ รองรับไฟล์ประเภท Zip, RAR ไฟล์
2 CCleaner โปรแกรมช่วยตรวจสอบ ลบขยะภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมความสามารถอื่นๆ อีก เช่น Uninstall, เช็ค Registry เป็นต้น
3 Client for
Google
Translate
ตัวช่วยแปลภาษา สามารถติดตั้งในเครื่องคอมฯ และเช็คผ่านออนไลน์ได้ รองรับการใช้งานแปลภาษาจากInternet, E-mail, Microsoft Word, Excel และอื่นๆ อีกมากมาย
4
LockNote
โปรแกรมช่วยเก็บรหัสผ่าน สำคัญๆ ใช้งานง่าย
5
MPCStar
โปรแกรมสำหรับดูหนัง ฟังเพลง รองรับไฟล์วีดีโอทุกประเภท
6 PDFCreator โปรแกรมสำหรับการแปลงไฟล์จากทุกประเภทเป็น PDF เหมาะสำหรับการส่งไฟล์ผ่านอีเมล รวมทั้งเพิ่มระบบ security ให้ไฟล์ด้วย
7
PicPick
Tools
เป็นโปรแกรมมากกว่าการจับภาพหน้าจอ หรือ Capture เพราะมีเครื่องมืออื่นๆ เสริมให้ด้วยอีกหลายอย่าง แถมยังเป็น Portable โปรแกรม ที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งลงในเครื่องคอมฯ แต่อย่างใด
8 Panda
USB
Vaccine
โปรแกรมยกเลิก Autorun เพื่อป้องกันไวรัส Autorun โดยเฉพาะ (ต้องมี)
9 avast!
Home
Antivirus
ฟรีโปรแกรมกำจัดไวรัส และสปายแวร์ ในตัวเดียวกัน
10 CDBurnXP โปรแกรมสำหรับการ write แผ่น หรือ burn แผ่น CD ในประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ burn แบบ Audio, Image, VCD/DVD เป็นต้น

  • ข้อย้ำว่า โปรแกรมดังกล่างข้างต้น เป็นฟรีโปรแกรมที่สามารถนำไปใช้งานได้ฟรี แบบไม่มีจำกัด ถ้าต้องการโปรแกรมเหล่านี้ ลองหาใน Google ดูนะครับ




















สืบเนื่องจากปัญหาของการพัฒนาโปรแกรม เพื่อให้ติดต่อกับ hardware เพื่อสั่งให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกับ hardware ในส่วนของการแสดงภาพและเสียง เป็นเรื่องค่อนข้างยาก เนื่องจากความหลากหลายของ hardware มีค่อนข้างมาก? ดังนั้น Microsoft จึงได้พัฒนา DirectX มาเพื่อช่วยเหลือผู้พัฒนาโปรแกรมให้ติดต่อกับ hardware ได้เต็มประสิทธิภาพ

DirectX มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่

Microsoft มีการพัฒนา DirectX ตั้งแต่ Windows 95 และ DirectX ก็เป็นโปรแกรมที่สามารถ download ได้ฟรีจากเว็บไซต์ Microsoft? สำหรับผู้ใช้งาน Windows Vista?จะติดตั้ง DirectX เวอร์ชั่น 10?มาให้พร้อมแล้วครับ ?

จำเป็นต้อง Upgrade DirectX เป็นเวอร์ชั่นใหม่หรือเปล่า

จำ เป็นมากครับ เพราะ DirectX เป็นโปรแกรมที่จำเป็นอย่างมากสำหรับนักเล่นเกมส์ คนที่สนใจทางด้าน Multi-media??รวมทั้งคนที่ทำงานทางด้านกราฟฟิกโดยเฉพาะ

Top 10 Free Antivirus

ใครกำลังมองหาฟรีโปรแกรมแอนตี้ไวรัส เชิญทางนี้ !  เพื่อให้ง่ายในการเลือกใช้โปรแกรมฟรี สำหรับการตรวจสอบ กำจัดไวรัส เรามีข้อมูลจากเว็บไซต์ Download.com ซึ่งเป็นของในนามบริษัท CBS Interactive Inc. หรือที่เรารู้จักกันในนาม cnet ข้อมูลนี้เราคัดเฉพาะเป็นฟรีโปรแกรมกำจัดไวรัส เท่านั้น ไม่รวมถึง ไฟล์ที่ใช้สำหรับการ update โปรแกรม anti-virus น่ะครับ



Top 10 Download Free Antivirus

  1. AVG Antivirus Free Edition - อันดับหนึ่งมานานมาก !!
  2. Avast Home Edition - ตัวนี้ก็ลองใช้แล้ว น่าสนใจมาก แค่ register ง่ายๆก็สามารถใช้งานได้ฟรี 1 ปี
  3. Avira AntiVir Personal Free Edition - ดี แต่มี pop up โฆษณา ขนาดใหญ่
  4. Panda Cloud Antivirus Free - น้องใหม่มาแรงสุดๆ
  5. PC Tools AntiVirus Free Edition - ใช้ได้ดีพอสมควร
  6. Microsoft Security Essentials - จากค่ายยักษ์ใหญ่ ไมโครซอร์ฟ 
  7. A-squared Free
  8. ThreatFire AntiVirus Free Edition
  9. Avast Antivirus Cleaner Tool
  10. Multi Virus Cleaner 2008
ที่ว่า download มากๆ นั้นหมายถึง อยู่ในระดับ 100 ล้านครั้งเลยทีเดียว อย่างนี้ สำหรับคนชอบใช้ของฟรี คงช่วยได้มากเลย ใช่ไหมครับ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกใช้ Free Antivirus

  1. ความน่าเชื่อถือ สามารถตรวจสอบได้จากจำนวนที่มีผู้ download
  2. ความรวดเร็วในการอัพเดท เนื่องจากไวรัสมีการอัปเดทตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้น โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีก็ควรอัพเดทอย่างสม่ำเสมอด้วย อย่างน้อย 1-2 วันครั้ง และน้อยที่สุดควรอัพเดทสัปดาห์ละครั้ง
  3. เลือกที่เป็น Freeware ไม่ใช่ Shareware เพราะ Freeware สามารถใช้งานได้ฟรี ไม่มีกำหนด
  4. โปรแกรมที่ดี ควรสามารถอัพเดทโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้อัตโนมัติ
  5. โปรแกรมที่ดี ควรสามารถสั่ง Scan แบบอัตโนมัติ หรือตั้งเวลา Scan ได้ด้วย
  6. และที่เป็นพื้นฐานที่ต้องมี ต้องสามารถ Scan และกำจัดไวรัสตัวใหม่ๆ ได้ด้วย

Format ล้างเครื่องคอมพิวเตอร์

หลังจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะหนึ่ง หลายๆ คนคงรู้สึกว่า ทำไมคอมพิวเตอร์ของเรา ทำงานช้าลง ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีการติดตั้งโปรแกรมอะไรมากมาย และเช็คเมล์ เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง และงานส่วนใหญ่ก็ใช้แต่โปรแกรมในตระกูล Office แล้วสาเหตุมาจากอะไร

ตรวจเช็คคอมพิวเตอร์กันสักนิด

  • พื้นที่ ฮาร์ดดิสก์ คงเหลือมากน้อยเท่าไหร่ (ดู Properties ของเครื่องคอม)
  • ลบไฟล์ขยะต่างๆในเครื่องบ้างหรือเปล่า (ใช้โปรแกรมประเภท Disk Cleaner, CCleaner เป็นต้น)
  • อัปเดท Windows บ้างหรือเปล่า
  • อัปเดท Anti-Virus บ้างหรือเปล่า
  • ตรวจสอบ หรือสั่งสแกนไวรัสบ้างหรือเปล่า
เหล่านี้เป็นวิธีการง่ายๆ ในการตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของเรา แน่นอนครับ ถ้าเรามีพื้นที่ในฮาร์ดดิกส์น้อยกว่า เรียกว่าต่ำกว่า 1 GB หรือ 1024 MB ก็ถือว่าน้อย แต่ถ้าเหลือในระดับร้อยเมกกะไบต์ ก็เตรียมตัวได้เลย ว่าเครื่องคอมฯ อาจค้าง หรือที่เรามักเรียกว่า Hang !

โดยปกติการใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักพัก ขยะต่างๆ ที่เกิดจากการทำงานก็จะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งถ้ามีการใช้งานอินเตอร์เน็ต อีเมลก็อาจสันนิฐานได้ว่า อาจมีไวรัสแฝงเข้ามาได้ด้วย ดังนั้น วิธีการที่น่าสนใจ สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้สัก 2-3 ปี แนะนำให้ลอง Format เครื่องคอมฯ ลง Windowsใหม่ รับรองคอมพิวเตอร์จะกลับมาเร็วดังเดิม

การ Format เครื่องคอมฯ หมายถึงอะไร


ในความเป็นจริง การ Format เครื่องคอมฯ จะหมายถึง Format ตัวฮาร์ดดิสก์เป็นการเริ่มต้น การจัดเรียงส่วนประกอบในการจัดเก็บข้อมูลใหม่ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลต่างๆ ภายในฮาร์ดดิสก์หายหมด เราจำเป็นจะต้องมีการสำรองข้อมูลก่อนการ Format เสมอ !

เครื่องคอมฯ แบบไหนควรทำการ Format เครื่องบ้าง

  • เครื่องที่ติดไวรัส และไม่สามารถแก้ไขได้
  • เครื่องที่ใช้งานมานานกว่า 2 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ขึ้นกับปัญหาต่างๆ ที่พบในการทำงาน
  • เครื่องที่มีปัญหาฮาร์ดดิสก์ หรือมี bad sector เกิดขึ้น

QR Code คืออะไร

บาร์โค้ดแบบใหม่ รู้จักกันหรือยัง


Freeware QR Code QR Code ย่อมาจาก Quick Response Code เป็นรูปแบบบาร์โค้ต 2 มิติแบบใหม่ เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า "Two-Dimensional Bar Code" ซึ่งความเป็นจริงแล้ว QR Code มีมาตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งคิดค้นโดยคนญี่ปุ่น บริษัท Denso-Wave  ปัจจุบันบาร์โค้ดแบบ QR Code นี้ เป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปเสียแล้ว สำหรับเมืองไทยเพิ่งเห็นไม่นาน โดยเฉพาะถ้าเราสังเกตุโฆษณาของ โออิชิ ที่มีการนำเอา QR Code มาร่วมเป็นหนึ่งในการประชาสัมพันธ์สินค้าของเขา

QR Code ทำอะไรได้บ้าง

QR Code www.it-guides.com

  • ใช้แทนบาร์โค้ด
  • สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ในบาร์โค้ดแบบนี้ได้เช่น URL ของเว็บ, ชื่อที่อยู่ แทนนามบัตร, และข้อมูลอื่นๆ ที่ต้องการ เป็นต้น

วิธีการใช้งาน QR Code


เพียงแค่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ QR Code ที่เห็น และนำไปอ่านด้วยโปรแกรมประเภท QR Code reader แค่นี้คุณก็จะได้รายละเอียดข้อมูลของ QR Code นั้นๆ ซึ่งในโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ จะมีโปรแกรมตัวนี้ติดตั้งมาด้วย โดยเฉพาะกับโทรศัพท์ประเภท Smart Phone หรือถ้าไม่มีก็สามารถหา download มาใช้งานได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ iPhone, BB และ Android เป็นต้น

ทดสอบสร้าง QR Code


สำหรับคนที่สนใจจะสร้าง QR Code ของตัวเอง ก็สามารถทำได้ เพียงแค่เข้าไปยังเว็บไซต์ http://qrcode.kaywa.com/ จากนั้นเลือกหัวข้อที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ลิงค์ของเว็บ ชื่อทีอยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หรือ SMS ก็ยังสามารถทำได้ด้วย


รายชื่อโทรศัพท์รุ่นต่างๆ ที่รองรับ QR Code


รายชื่อโทรศัพท์  Nokia, Samsung, Motorola, Sony Ericsson  สำหรับรายละเอียดในแต่ละรุ่น สามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่ http://reader.kaywa.com/phones

การใช้งาน Task Manager

เครื่องมือแก้ปัญหาของ Windows


อีกหนึ่งเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา Windows ได้หลากหลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมที่ใช้งานอื่นๆ ค้าง หรือ Freeze  หรือจะเป็นการตรวจสอบโปรแกรมการใช้งานต่างๆ ว่ามีขนาดเท่าไหร่ หรือจะใช้ร่วมกับการแก้ไขปัญหาของ Virus หรือ Spyware ก็ได้ด้วยเช่นนั้น

วิธีการเรียกคำสั่ง Task Manager สามารถทำได้หลายวิธี

Windows Task Manager
  1. กดปุ่ม Ctrl + Alt + Delete
  2. คลิกขวาบริเวณ TaskBar และคลิกหัวข้อ Task Manager
  3. วิธีที่ 3 กดปุ่ม Ctrl + Shift + ESC
ถ้าไม่ได้ก็เข้าไปที่โฟลเดอร์ที่เก็บโปรแกรมเลย จะอยู่ในโฟลเดอร์ Windows\Systems32 ครับ  ไฟล์ชื่อ Taskmgr.exe

โปรแกรม Task Manager ทำอะไรได้บ้าง

  1. แก้ปัญหาโปรแกรมค้าง  ให้คลิกไปที่แท็ป "Applications" ถ้าโปรแกรมไหนขึ้นคำว่า "Not response" แสดงว่าโปรแกรมมีปัญหา ให้คลิกเลือกโปรแกรมนั้น และคลิกที่ปุ่ม "End Task" ด้านล่าง
  2. แท็ป "Processes" เป็นแท็ปที่แสดงรายชื่อโปรแกรมที่ทำงานอยู่ เราอาจไม่สามารถรู้จักได้หมด และให้ดูเฉพาะโปรแกรมที่เราเปิดอยู่ก็พอ ลองดูที่ในคอลัมภ "Mem Usage" ซึ่งจะเป็นการแสดงว่า โปรแกรมที่เราใช้งานนั้น กินหน่วยความจำมากน้อยเท่าไหร่  ถ้ามากก็แสดงว่าไม่ค่อยดีนัก
  3. แท็ป "Performance" เป็นแท็บที่แสดงการใช้หน่วยประมวลผลมากน้อย (CPU Usage) ถ้าใช้มากเกินไป เครื่องก็อาจค้างได้ เหมาะสำหรับการตรวจสอบสถานะของเครื่องคอมพิวเตอร์มามี ปัญหาหรือไม่  เรียกว่าเป็นการ Monitor เครื่องคอมฯ
  4. แท็ป "Networking" ใช้สำหรับตรวจสอบวิเคราะห์การใช้งานในระบบเครือข่าย ถ้าคุณเชื่อมต่อแบบไร้สาย หรือแบบใช้สายแลน 
  5. แท็ปสุดท้าย "Users"  เป็นแท็บที่แสดงผู้ใช้งานในคอมพิวเตอร์ของเรา อาจมีมากกว่าหนึ่ง ถ้ามีการ Remote เข้ามาในเครื่องของเรา อย่างไรก็ตาม เราสามารถสั่ง "Disconnect" เพื่อยกเลิกการเชื่อมต่อได้
นอกจากนี้ ยังมีเมนูด้านบน "Shutdown" จะสามารถสั่ง Shutdown / Logoff / Restart โปรแกรม Windows เองได้เช่นกัน

ตรวจอาการคอมพิวเตอร์ด้วย Event Viewer

มาตรวจสอบปัญหาคอมฯ ด้วยตัวเองกันดีกว่า

คุณทราบหรือไม่ว่า Microsoft ได้เตรียมเครื่องมือในการตรวจสอบอาการคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานของเรา ว่ามีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะกับตัวโปรแกรม ระบบการใช้งาน และระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเราสามารถตรวจสอบแบบพื้นฐานเองได้ด้วยตัวเอง


Event Viewer คืออะไร

Event Viewer Windows 7


เครื่องมือที่ใช้สำหรับการเก็บข้อมูล การใช้งานและปัญหาต่างๆ  ที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ของเรา โดยจะมีการแบ่งการจัดเก็บข้อมูลได้ 3 ประเภทดังนี้ (ข้อมูลนี้ทดสอบจากการใช้งาน Windows Server)
  1. Application
  2. Security
  3. System
สำหรับผู้ใช้งาน Windows XP หรือ Windows 7 อาจมีรายละเอียดเพิ่มเติมแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนการใช้งานก็มีความแตกต่างกันบ้าง  แต่โดยภาพรวมแล้วมีหลักการตรวจสอบในแนวทางเดียวกันครับ


วิธีการใช้งาน Event Viewer 

  1. คลิกขวาที่ My Computer
  2. คลิกเลือกหัวข้อ Manage  (Computer Management)
  3. เข้าที่หัวข้อ System Tool  และเลือก Event Viewer
  4. คลิกเลือกหัวข้อที่ต้องการตรวจสอบ เช่น Application เป็นต้น
  5. ด้านต่างด้านขวามือ จะมีรายละเอียดแสดงให้เห็นว่ามีปัญหาหรือไม่อย่างไร
  6. ถ้าคลิกเข้าไปดูในแต่ละบรรทัด จะเข้าไปยัง “Event Properties”  แนะนำให้เข้าไปดูหัวข้อที่มีรูปวงกลมสีแดง ภายในมีรูป กากบาก (X) จะมีคำอธิบายว่าเป็นปัญหาจากอะไร นอกจากนี้ยังอาจมีลิงค์ที่ทาง Microsoft ได้แนะนำให้อ่านข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมแนะนำการแก้ไขปัญหาให้อีกด้วย

Internet Explorer 9





















หลังจากที่ Microsoft ได้ออก Internet Explorer 8 ซึ่งเห็นชัดว่า มีความสามารถใหม่เพิ่มเติมที่น่าสนใจและมีหลายง่ายที่ใช้งานได้ใกล้เคียงกับ FireFox เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็ได้เริ่มพัฒนา Internet Explorer 9 ซึ่งขณะที่แนะนำนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบอยู่ ใครสนใจอยากรู้ว่าดีแค่ไหนสามารถ download ได้โดยตรงที่เว็บไซต์ของ Microsoft

Download Internet Explorer 9 Preview

  • สนใจ Download Internet Explorer 9 Preview คลิกที่ลิงค์ http://ie.microsoft.com/testdrive/ ขนาดไฟล์ 16.12 MB
  • รองรับระบบปฏิบัติการ Windows Vista / Windows 7

ความสามารถเด่นๆ ของ IE9 (บางส่วน)

  • พัฒนาในเรื่องของความเร็วในการแสดงภาพกราฟฟิก
  • รองรับมาตราฐาน HTML5
  • รองรับมาตราฐาน SVG video
  • รองรับมาตราฐาน CSS3
ซึ่งการรองรับมาตราฐานใหม่ๆ มีจุดเด่นอีกอย่างที่น่าสนใจ คือ ทำให้ IE9 สามารถเล่นไฟล์ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะไฟล์วีดีโอได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีการ download Plug-ins แต่อย่างไร

USB 3.0

USB SuperSpeed 3.0USB ย่อมาจาก Universal Serial Bus เป็นพอร์ตที่ใช้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าด้วยกัน เช่น เชื่อมต่อ Flash Drive กับเข้าคอมพิวเตอร์, เชื่อมต่อ กล้องวีดีโอ เข้ากับคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่ง เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับคอมพิวเตอร์เป็นต้น ปัจจุบันอุปกรณ์ประเภทไฮเทคต่างๆ มักอาศัยการเชื่อมต่อด้วยพอร์ต USB เป็นหลัก

USB เวอร์ชั่น 3.0


เวอร์ชั่นล่าสุดของ USB ที่มีการปรับปรุงความสามารถในโอนถ่ายข้อมูลได้มากกว่าเดิมมาก ซึ่งปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ยังคงใช้ USB เวอร์ชั่น 2.0 และที่แย่กว่านั้น คือ เวอร์ชั่น 1.1 ซึ่งให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลต่ำสุด (ระวัง อย่าซื้ออุปกรณ์ที่ใช้การเชื่อมต่อ USB 1.1 น่ะครับ เพราะตกรุ่นไปแล้ว)


ความแตกต่างระหว่าง USB 2.0 กับ USB 3.0

  • ความเร็ว หรือ Speed
    ความแตกต่างที่ใช้สำหรับการ วัดประสิทธิภาพของพอร์ต USB แต่ละรุ่นคือ ความเร็ว  โดยความเร็วของพอร์ต USB 2.0 อยู่ที่ 480 Mbps สำหรับเวอร์ชั่น 3.0 ความเร็วอยู่ที่ 4.7 Gbps ซึ่งเปรียบเทียบแล้ว USB 3.0 จะมีความเร็วกว่า USB 2.0 เกือบสิบเท่าตัว ดังนั้น เวลาเราต้องการโอนถ่ายไฟล์ใหญ่ โดยเฉพาะกับไฟล์วีดีโอ จะทำให้สามารถโอนได้เร็วในพริบตาเลยทีเดียว
  • ประหยัดไฟ
    ด้วยการออกแบบใหม่ของ USB 3.0 ทำให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟฟ้าได้ด้วย
  • จ่ายกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า
    USB 3.0 สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อผ่าน HUB และรองรับการจ่ายไฟได้มากขึ้น
ก่อนการซื้ออุปกรณ์ที่มีพอร์ต USB 3.0 คงต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่า Windows ที่เราใช้งานรองรับการใช้งาน USB 3.0 หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม พอร์ต USB 3.0 ก็สามารถใช้งานร่วมกับ USB 2.0 และ USB 1.1 ได้อย่างไม่มีปัญหา

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร

โปรแกรมที่สร้างปัญหาและก่อนกวนการใช้งานคอมพิวเตอร์ อาจทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง หรือไม่สามารถทำงานได้เลย ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนอนอินเตอร์เน็ต (Worm) โทรจัน (Trojan) ข่าวไวรัสหลอกลวง (Hoax) เป็นต้น


สปายแวร์คืออะไร

โปรแกรมที่แอบติดตั้งเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อแสดงความโฆษณา ขณะที่เราทำงานอยู่ หรือเก็บข้อมูลการใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งาน โดยส่วนใหญ่จะสร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้คอมฯ


อาการของคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัส สปายแวร์

  • มีหน้าต่างโปรแกรมเปิดอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร
  • คอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
  • การทำงานโปรแกรมต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากปกติ
  • มีความผิดพลาดของ Windows บ่อยๆ มาก
  • เครื่อง Restart Windows ตลอดเวลา
ถ้าคอมพิวเตอร์คุณมีอาการเหล่านี้ สันนิฐานได้ว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับไวรัสหรือสปายแวร์ แนะนำให้ตรวจสอบหรือสั่งสแกนไวรัสโดยด่วน

ราคา I Phone 4


  
iPhone 4 คงเป็นมือถือที่ใคร ๆ หลายคนรอวันเปิดตัวอย่างใจจดใจจ่อ รวมทั้งผมด้วย ณ วันนี้เราจะได้ยลโฉมเจ้า iphone 4 ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ซึ่งหลาย ๆ คนก็มีค่ายที่ตัวเองเลือกไว้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะซื้อค่ายไหน ผมก็มีราคาของค่ายที่นำเจ้า iphone 4 มาขาย ไม่ว่าจะเป็นค่าย Ais,Dtac,truemove ก็นำมาประชันอย่างไม่มีใครยอมถอย ซึ่งผมได้ข้อมูลของค่าย Ais มาเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงขอลงเพิ่มหน่อย ส่วนค่ายอื่น ๆ ก็อดใจรอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะพยายามหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่แฟนของ Blog ผม(มีป่าวหว่า ?)จะได้รับข้อมูลที่ไม่ตก trend ครับ ผมก็เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ไปดูราคา ipHone 4 กันดีกว่า

ราคา iphone 4 ของ Dtac


iphone 4 price by dtac



ราคา iphone 4 ของ Truemove

iphone 4 price by truemove



ราคา iphone 4 ของ Ais และ package ราคารายเดือน



 iphone 4 price by truemove



รายละเอียดของค่าย ais
1.เราสามารถซื้อเครื่องเปล่าได้
2.ไม่จำเป็นต้องเลือกแพ็คเก็จสุดโหด ทั้ง 3 ที่ออกมา เราสามารถเลือกแพ็คเก็จอื่นของ ais ได้ที่งาน
3.ถ้ามีเบอร์ของ ais อยู่แล้ว และอยากใช้เบอร์เดิม ให้นำซิมการ์ด + สำเนาบัตรประชาชนไปในงานด้วย ทาง บ.จะเปลี่ยนซิมใหม่แต่เบอร์เดิมให้
***หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โทร 1175 cell center ais ****

เทคโนโลยี 3G คืออะไร



















3G คือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า
  • “ต้องมี แพลทฟอร์ม (Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเทอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
  • “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming) ” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
  • “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service) ” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ
  • อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็วดังนี้ [

    • ในสภาวะอยู่กับที่หรือขณะเดิน มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 2 เมกะบิต/วินาที
    • ในสภาวะเคลื่อนที่โดยยานพาหนะ มีความเร็วอย่างน้อยที่สุด 384 กิโลบิต/วินาที
    • ทุกสภาวะ มีความเร็วอย่างมากที่สุด 14.4 เมกะบิต/วินาที
จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third Generation Mobile Network หรือ 3G) เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 2 หรือ 2G ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจสื่อสารไร้สายอย่างมหาศาลนับ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ในยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มีมาตรฐานที่สำคัญที่มีการนิยมใช้งานทั่วโลกอยู่ 2 มาตรฐาน กล่าวคือมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communication) อันเป็นมาตรฐานของกลุ่มสหภาพยุโรป ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงที่สุด และมาตรฐาน CDMA (Code Division Multiple Access) อันเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่สอง
จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ขึ้น ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานระบบสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล (Personal Communication) ในลักษณะไร้พรมแดน (Global Communication) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ งานในที่ใด ๆ ก็ได้ทั่วโลกที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังเป็นยุคของการนำมาตรฐานสื่อสารแบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบมาใช้รักษาความ ปลอดภัย และเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความแบบสั้น (Short Message Service หรือ SMS) และการเริ่มต้นของยุคสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นครั้งแรก โดยมาตรฐาน GSM และ CDMA ตอบสนองความต้องการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุด 9,600 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเร็วของการสื่อสารผ่านโมเด็มใน เครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานเมื่อกว่าสิบปีก่อน
การตอบรับของกลุ่มผู้บริโภคบริการสื่อสารไร้สายทั่วโลก ทำให้มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการณ์ทั่วโลกอย่างมหาศาล ก่อให้เกิดการเปิดสัมปทานและนำมาซึ่งการแข่งขันอย่างรุนแรงในแทบทุกประเทศ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะมีผลทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้บริการอย่าง ก้าวกระโดดแล้ว ในขณะเดียวกันยังสร้างผลกระทบต่อรายได้โดยเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue per User หรือ ARPU) ของผู้ให้บริการเครือข่าย อันเนื่องมาจากการกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา ยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้ (Prepaid Subscriber) ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ก็ทำให้เกิดการลดถอยของ ARPU ลงอย่างต่อเนื่อง พร้อม กับปัญหาผู้ใช้บริการย้ายค่าย (Brand Switching) ที่รุนแรงขึ้น
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตราสินค้าและยังเป็นการสร้างรายได้ เพิ่มเพื่อชดเชย ARPU ที่ลดต่ำลง เนื่องจากปรากฏการณ์อิ่มตัวของบริการสื่อสารด้วยเสียง (Voice Service) ผู้ประกอบการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจึงมีความเห็นตรงกันที่จะ สร้างบริการสื่อสารไร้สายรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้น โดยพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่เปิดใช้งานอยู่ ให้มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อรองรับบริการสื่อสารข้อมูลแบบที่มิใช่เสียง (Non-Voice Communication) พร้อมกับการวางแผนธุรกิจ แผนปฏิบัติการทางวิศวกรรม การตลาด และแผนการลงทุน เพื่อสร้างกระแสความต้องการ (Demand Aggregation) ให้กับฐานลูกค้าผู้ใช้บริการที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่ม ARPU ให้สูงขึ้น พร้อม ๆ กับผลักดันให้เกิดบริการรูปแบบใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งข้อมูลแบบ EMS (Enhanced Messaging Service) หรือ MMS (Multimedia Messaging Service) รวมถึงบริการท่องโลกอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งมีทั้งที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่ว ๆ ไป อุปกรณ์ไร้สายประเภท PDA (Personal Digital Assistant) และโทรศัพท์เคลื่อนที่อัจฉริยะ (Smart Phone)
เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ที่ได้มีการลงทุนไว้แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในรูปแบบใหม่ ๆ จึงถูกกำหนดขึ้น ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาเครือข่ายเดิม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit Switching Data), GPRS (General Packet Radio Service) หรือ EDGE (Enhanced Data Rate for GPRS Evolution) ของค่าย GSM และเทคโนโลยี cdma20001xEV-DV หรือ cdma20001xEV-DO ของค่าย CDMA ดังแสดงพัฒนาการในรูปที่ 1 เรียกมาตรฐานต่อยอดดังกล่าวโดยรวมว่า เทคโนโลยียุค 2.5G/2.75G ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ปรากฏมีมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ PDC (Packet Digital Cellular) เปิดให้บริการสื่อสารข้อมูลในลักษณะของเทคโนโลยี 2.5G ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า i-mode ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดศักราชของการให้บริการสื่อสารข้อมูล แบบมัลติมีเดียไร้สายในประเทศญี่ปุ่น และได้กลายเป็นต้นแบบของการจัดทำธุรกิจ Non-Voice ให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกในเวลาต่อมา
การเติบโตของธุรกิจ Non-Voice
ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอันเป็นยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยี 2.5G ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย มีการผลักดันบริการสื่อสารข้อมูลรูปแบบใหม่ ๆ ในรูปแบบ Non-Voice เพื่อสร้างกระแสนิยมในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย 2.5G อย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการผลักดันให้เกิดการยอมรับในบริการที่มีอยู่แล้ว อันได้แก่บริการ SMS ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าบริการเหล่านี้ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญที่เพิ่ม มูลค่าให้บริการ ARPU ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รูปที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของบริการประเภทต่าง ๆ บนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภาพรวมของทั้งทวีปเอเชียตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2553 ซึ่งในท้ายที่สุดบริการแบบ Non-Voice จะมีสัดส่วนที่เป็นนัยสำคัญต่อรายได้รวมทั้งหมด
สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเอง นับตั้งแต่การเปิดให้บริการประเภท Non-Voice อย่างจริงจังเมื่อต้นปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็สามารถสร้างรายได้เพื่อ เสริมทดแทนการลดทอนของค่า ARPU ภายในเครือข่ายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดตัวบริการสื่อสารไร้สายมัลติมีเดียของ บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด (HUTCH) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นมา สภาพการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารไร้สายในประเทศไทยก็เริ่มมุ่งความสำคัญในการ สร้างบริการ Non-Voice ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการ MMS อย่างเป็นทางการ การคิดโปรโมชั่นกระตุ้นการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งการทดลองเปิดให้บริการชมภาพยนตร์ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ (TV on Mobile) ซึ่งความพยายามของผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละราย ทำให้เกิดกระแสความสนใจใช้บริการ Non-Voice เพิ่มมากขึ้น
รูปที่ 3 และ 4 แสดงถึงความสำคัญของรายได้ที่เกิดขึ้นจากบริการ Non-Voice นับตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา อันมีผลทำให้บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเพิ่มค่า ARPU ของตนให้มีแนวโน้มสูงขึ้น พร้อม ๆ กับการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายของตน ซึ่งแตกต่างจากสภาพการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ที่รายได้เฉลี่ยของตนตกลงเรื่อย ๆ สวนทางกับการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของประเทศ มีการเพิ่มค่า ARPU ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากนโยบายการตลาดของผู้ให้บริการที่มีการจำกัดเวลาในการโทร ให้สัมพันธ์กับวงเงินก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ความนิยมในบริการ Non-Voice ประเภท SMS และ EMS โดยเฉพาะที่อยู่ในรูปแบบของบริการดาวน์โหลดรูปภาพ (Logo/Animation) และเสียงเรียกเข้า (Ringtone) ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษามีผลอย่างเป็นนัยสำคัญต่อการเพิ่มค่า ARPU ดังกล่าว
ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G แม้จะสามารถรองรับการสื่อสารประเภท Non-Voice ได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างบริการประเภท Killer Application ที่ผลิกผันรูปแบบการให้บริการได้อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จากสถาการณ์การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่แม้จะมีการเติบโตอย่างชัดเจนในตลาดประเภท Non-Voice แต่เมื่อศึกษาอย่างละเอียดก็จะพบว่าบริการที่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นบริการประเภท SMS และ EMS ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลดรูปภาพหรือเสียงเรียกเข้า รวมถึงการเล่นเกมส์ตอบปัญหาหรือส่งผลโหวตที่ปรากฏอยู่ตามสื่อชนิดต่าง ๆ ซึ่งบริการเหล่านี้ล้วนเป็นบริการพื้นฐานในเครือข่าย 2G
ข้อจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อน 2.5G และ 2.75G เกิดขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ 900 เมกะเฮิตรซ์ , 1800 เมกะเฮิตรซ์ หรือ 1900 เมกะเฮิตรซ์ เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมาตั้งแต่การเปิดให้บริการในยุค 2G ล้วนเป็นเทคโนโลยีเก่า มีการทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดังกล่าวเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลแบบ Voice ซึ่งต้องการคุณภาพและความคมชัดในการสนทนา
แม้เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice ในลักษณะเดียวกับที่พบในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ตาม แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการจัดสรรวงจรสื่อสารผ่านคลื่นความถี่วิทยุจากสถานีฐาน ไปยังเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงพบว่าไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด 171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูล ผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G ทำให้หมดความสนใจที่จะใช้บริการต่อไป โดยในขณะเดียวกันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกสำหรับใช้บริการ ความสนใจที่จะใช้เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อรับส่งข้อมูลจึงมีอยู่ เฉพาะการเล่นเกมส์และส่ง SMS, MMS ซึ่งทำได้ง่าย และมีการประชาสัมพันธ์ดึงดูดใจมากมาย
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G
เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการเปิดให้บริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งยังคงรักษาคุณภาพในการให้บริการ Voice ด้วยระดับคุณภาพที่ทัดเทียมหรือดีกว่าในยุค 2G องค์กรสากล 3GPP (Third Generation Program Partnership) และ 3GPP2 จึงได้กำหนดมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ขึ้น โดยมีมาตรฐานสำคัญอยู่ 2 ประเภท คือ
มาตรฐาน UMTS (Universal Mobile Telecommunications Services) เป็นมาตรฐานที่ออกแบบมาสำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นำ ไปพัฒนาจากยุค 2G/2.5G/2.75G ไปสู่มาตรฐานยุค 3G อย่างเต็มตัว รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP มีเทคโนโลยีหลักที่ปัจจุบันมีการยอมรับใช้งานทั่วโลกคือมาตรฐาน Wideband Code Division Multiple Access (W-CDMA) โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเนื่องไปสู่มาตรฐาน HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งรองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วสูงถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที หรือเร็วกว่าการสื่อสารแบบ 2.75G ถึง 36 เท่า มาตรฐาน W-CDMA นี้เองที่กิจการร่วมค้า ไทย - โมบาย กำลังจะดำเนินการพัฒนาเพื่อเปิดให้บริการภายในต้นปี พ.ศ. 2548 นอกจากจะเป็นเส้นทางในการพัฒนาสู่มาตรฐาน 3G ของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังได้รับการยอมรับจากผู้ให้บริการรายใหญ่อย่างบริษัท NTT DoCoMo ผู้เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ I-mode ซึ่งใช้เทคโนโลยี PDC ให้เป็นมาตรฐาน 3G สำหรับใช้งานภายใต้เครื่องหมายการค่า “FOMA” โดยได้เปิดให้บริการในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา และปัจจุบัน W-CDMA ได้กลายเป็นเครือข่าย 3G ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มาตรฐาน cdma2000 เป็นการพัฒนาเครือข่าย CDMA ให้รองรับการสื่อสารในยุค 3G รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานโดยองค์กร 3GPP2 มีเทคโนโลยีหลักคือ cdma2000-3xRTT ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับมาตรฐาน W-CDMA ของค่ายยุโรป แต่ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดความพร้อมสำหรับให้บริการเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน สำหรับในประเทศไทย บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด เปิดให้บริการเฉพาะเครือข่าย cdma20001xEV-DO ซึ่งยังมีขีดความสามารถเทียบเท่าเครือข่าย 2.75G เท่านั้น
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ W-CDMA ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รองรับการสื่อสารแบบมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารชนิด TDMA ที่ปรากฏอยู่ในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G/2.5G/2.75G ไปเป็นการสื่อสารแบบแพ็กเกตสวิทชิ่งเต็มรูปแบบ สามารถรองรับทั้งการสื่อสารทั้ง Voice และ Non-Voice โดยมีมาตรฐานการรองรับและควบคุมคุณภาพของข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล (Information Coding) จึงทำให้ผู้ให้บริการเครือข่าย 3G ก้าวพ้นจากข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูลประเภท Voice และ Non-Voice ดังที่ปรากฏอยู่ในมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เครือข่าย W-CDMA สามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลได้อย่างเต็มรูปแบบ และให้เกิดความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากรความถี่วิทยุ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดย่านความถี่สำหรับใช้เปิดให้บริการ โดยเป็นไปตามแผนผังการจัดวางความถี่สากลทั่วโลกดังแสดงในรูปที่ 5 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ กิจการร่วมค้าไทย - โมบาย เป็นเพียงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดียวในประเทศไทยที่สามารถเปิด ให้บริการเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA ได้ในทันที เนื่องจากมีสิทธิ์ใช้คลื่นความถี่วิทยุในย่าน 1965 – 1980 เมกะเฮิตรซ์ และ 2155 – 2170 เมกะเฮิตรซ์ ขณะที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ๆ จำเป็นต้องยื่นคำร้องผ่านกระบวนการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโดยคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อได้สิทธิ์ในการเปิดให้บริการ W-CDMA เป็นรายต่อไป
จุดเด่นของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA
นอกจากมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีสถานีฐาน (Base Station Subsystem) จากยุค 2G ซึ่งใช้เทคโนโลยี TDMA เป็นการรับส่งข้อมูลในรูปแบบแพ็กเกตเพื่อความคล่องตัวในการจัดสรรทรัพยากร ความถี่สำหรับให้บริการทั้งแบบ Voice และ Non-Voice อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด อันจะช่วยสร้างความรู้สึกให้กับผู้ใช้บริการ (End User Perception) ถึงความรวดเร็วในการสื่อสารข้อมูล และยังคงรักษาคุณภาพของการสนทนาที่เหนือกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว มาตรฐาน W-CDMA ยังมีความคล่องตัวในการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายข้อมูลที่อยู่ในโลกอิน เทอร์เน็ต เนื่องจากมาตรฐานการเชื่อมต่อต่าง ๆ สอดรับกับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตทุกประการ ก่อให้เกิดการเปิดกว้างในรูปแบบของความร่วมมือกับพันธมิตรจำนวนมาก มีความคล่องตัวในการบันทึก จัดเก็บ และบริหารจัดการข้อมูลประเภทสื่อข้อมูล (Content) ต่าง ๆ
เมื่อทำการเปรียบเทียบเฉพาะด้านของอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลดังแสดงใน รูปที่ 6 จะเห็นว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G นอกจากจะรองรับการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G แล้ว ยังก่อให้เกิดการถือกำเนิดของบริการรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นบนเครือข่ายยุคในตระกูล 2G/2.5G/2.75G ได้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบริการ Video Telephony และ Video Conference ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้ากัน โดยเครือข่าย 3G จะทำการถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงระหว่างคู่สนทนา โดยไม่เกิดความหน่วงหรือล่าช้าของข้อมูล บริการในลักษณะนี้จะกลายเป็น จุดขาย สำคัญประการหนึ่งของมาตรฐานการสื่อสารแบบ 3G ทั้งนี้เครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ล้วนรองรับบริการ Video Telephony แล้วทั้งสิ้น จึงสามารถเปิดให้บริการดังกล่าวได้ในทันที
ข้อมูลจาก UMTS Forum ในรูปที่ 7 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA เปรียบเทียบกับมาตรฐาน GSM โดยพิจารณาอัตราการเติบโตภายในช่วง 10 ไตรมาสแรก (2 ปีครึ่ง) หลังจากการเปิดให้บริการ GSM ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 เทียบกับ 10 ไตรมาสแรกหลังจากการเปิดให้บริการ W-CDMA ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พบว่าเครือข่าย 3G แบบ W-CDMA มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ามาก มูลเหตุสำคัญมาจากแรงผลักดัน (Business Momentum) ที่ผู้ใช้บริการ 2.5G หรือ 2.75G รอคอยเครือข่ายสื่อสารไร้สายที่สามารถตอบสนองความต้องการในการสื่อสารข้อมูล ด้วยอัตราเร็วสูงอย่างแท้จริง อีกทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายยังมีความคล่องตัวในการจัดสรรเครือข่ายในด้าน ต่าง ๆ เพื่อสร้างบริการสื่อสารประเภท Non-Voice ที่ต้องพึ่งพาอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น นอกเหนือจากบริการ Non-Voice พื้นฐานอย่าง SMS และ EMS
กล่าวโดยสรุป ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มาตรฐานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA มีแนวโน้มของการประสบความสำเร็จทางธุรกิจที่รวดเร็วกว่ามาตรฐาน 2G จนถึง 2.75G นั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติรูปแบบของเทคโนโลยีเครือข่าย เพื่อตอบสนองรูปแบบการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจให้ผลักดันบริการ Non-Voice อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ UMTS Forum ได้กล่าวถึงจุดเด่นของมาตรฐาน W-CDMA ซึ่งจะนำความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการดังนี้ (เอกสาร Why the world has chosen W-CDMA : 24 September 2003)
1. เครือข่าย W-CDMA รับประกันคุณภาพในการรองรับข้อมูลแบบ Voice และ Non-Voice ในแง่ของผู้ใช้บริการจะรับรู้ได้ว่าคุณภาพเสียงจากการใช้งานเครือข่าย 3G ชัดเจนกว่าหรืออย่างน้อยเทียบเท่าการสนทนาผ่านเครือข่าย 2G ส่วนการรับส่งข้อมูลแบบ Non-Voice จะรับรู้ถึงอัตราเร็วในการสื่อสารที่สูงกว่าการใช้งานผ่านเครือข่าย 2.5G และ 2.75G มาก อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเครือข่าย และใช้ย่านความถี่ที่สูงขึ้น
2. W-CDMA เป็นมาตรฐานเปิด (Open Standard) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยกลุ่ม 3GPP ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พัฒนามาตรฐาน GSM ทำให้ผู้ให้บริการ 3G สามารถเชื่อมต่อเครือข่าย 3G เข้าหากันได้ถึงขั้นอนุญาตให้มีการใช้งานข้ามเครือข่าย (Roaming) เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในเครือข่ายยุค 2G นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อเพื่อการใช้งานข้ามเครือข่ายกับมาตรฐาน 2G/2.5G/2.75G ได้ในทันที โดยผู้ใช้บริการเพียงมีอุปกรณ์สื่อสารแบบ Dual Mode เท่านั้น ทำให้เกิดลู่ทางในการสร้างเครือข่าย W-CDMA เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเครือข่ายรายอื่นได้ร่วมเข้าใช้บริการ ในลักษณะของ Mobile Virtual Network Operator (MVNO) เป็นรายได้ที่สำคัญนอกเหนือจากการให้บริการ 3G กับผู้ใช้บริการที่จดทะเบียนภายในเครือข่าย
3. มาตรฐาน W-CDMA เป็นมาตรฐานโลก ที่จะเข้ามาแทนที่เครือข่ายในตระกูล GSM เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เครือข่าย GSM เข้ามาแทนที่เครือข่าย 1G เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว จึงเป็นการรับประกันถึงพัฒนาการที่มีอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ การเร่งเปิดให้บริการ 3G จึงเปรียบได้กับการเร่งเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น ในอดีต
4. พิจารณาเฉพาะการให้บริการแบบ Voice จะเห็นว่าการลงทุนสร้างเครือข่าย W-CDMA มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างเครือข่าย GSM ถึงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมาตรฐาน W-CDMA มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวให้ผู้ประกอบสามารถปรับเปลี่ยนทรัพยากรความถี่ เพื่อรองรับ Voice และ Non-Voice ได้อย่างผสมผสาน ต่างจากการกำหนดทรัพยากรตายตัวในกรณีของเทคโนโลยี GSM
5. W-CDMA เป็นมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดเดียวที่มีรูปแบบการทำงานแบบแถบความถี่กว้าง (Wideband) อันนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการสร้างพื้นที่ให้บริการที่กว้างใหญ่ ไปพร้อม ๆ กับความสะดวกในการเพิ่มขยายขีดความสามารถในการรองรับข้อมูลข่าวสาร ต่างจากเครือข่าย 2G โดยทั่วไปที่ปัจจุบันเริ่มประสบกับปัญหาการจัดสรรความถี่ที่ไม่เพียงพอต่อ การขยายเครือข่าย เนื่องจากเป็นระบบแบบแถบความถี่แคบ (Narrow Band)
6. กลไกการทำงานภายในเครือข่าย W-CDMA เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรฐาน IETF (Internet Engineering Task Force) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเปิดโอกาสให้พันธมิตรทางธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโปรแกรมหรือบริการพิเศษต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้ทำการพัฒนาสร้างบริการผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย โดยใช้ทักษะความสามารถและความชำนาญที่มีอยู่ เป็นการกระตุ้นให้เกิดบริการประเภท Non-Voice ได้สารพัดรูปแบบ
7. มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในรองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีอัตราเร็วสูง ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสู่มาตรฐาน HSDPA ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วที่สูงมากถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที ในขณะที่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM ไม่สามารถพัฒนาให้รองรับการสื่อสารข้อมูลได้มากกว่าเทคโนโลยี EDGE ในปัจจุบัน ซึ่งรองรับข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาที และในความเป็นจริงก็ไม่สามารถเปิดให้บริการด้วยอัตราเร็วถึงระดับดังกล่าว ได้ เนื่องจากจะทำให้สถานีไม่สามารถรองรับบริการ Voice ได้อีกต่อไป
8. ในอนาคตมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G มีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนในการรวมตัวกับมาตรฐานสื่อสารไร้สายชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน Wireless LAN (IEEE802.11b/g) หรือ WiMAX (IEEE802.16d/e/e+) ทำให้ผู้ใช้บริการเครือข่ายไร้สายสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานในเครือข่ายใด ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสมทางภูมิประเทศ โดยยังคงได้รับการดูแลโดยผู้ให้บริการเครือข่าย 3G
ความสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM จำนวนมากทั่วโลก รวมนักลงทุนหน้าใหม่ ให้ความสำคัญสำหรับการแสวงหาสิทธิ์ในการเปิดให้บริการเครือข่าย 3G และมีแผนกำหนดเปิดให้บริการเทคโนโลยี W-CDMA ดังมีข้อมูลแสดงในรูปที่ 8 โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับต้น ๆ ของโลก 8 รายได้ตัดสินใจเลือกมาตรฐาน W-CDMA เป็นเทคโนโลยี 3G ดังแสดงในรูปที่ 9
ในท้ายที่สุด ความสมบูรณ์แบบในการรองรับธุรกิจ Non-Voice ของมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะช่วยผลักดันให้เกิดห่วงโซ่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ ดังแสดงในรูปที่ 10 แม้จะมีความพยายามในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมภายในประเทศที่จะผลัก ดันให้เกิดการประสานผลประโยชน์อย่างลงตัวระหว่างผู้ให้บริการเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G/2.5G/2.75G กับผู้ประกอบการสื่อข้อมูลต่าง ๆ มาก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากข้อจำกัดของเครือข่ายในตระกูล GSM และ CDMA เองที่ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจต่อผู้ใช้บริการ จึงทำให้เกิดการขาดช่วงของความสมดุลในการผสานผลประโยชน์ เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ FOMA ของบริษัท NTT DoCoMo ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA และประสบความสำเร็จในการดึงศักยภาพของเครือข่าย W-CDMA ให้เกื้อหนุนต่อความลงตัวสำหรับการร่วมมือในธุรกิจ Non-Voice ในประเทศญี่ปุ่นอย่างงดงาม ต่อเนื่องด้วยความคืบหน้าในการสานต่อโครงสร้างธุรกิจ Non-Voice ในประเทศจีนและอีกหลาย ๆ ประเทศ จึงสรุปได้ว่ามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G แบบ W-CDMA จะเป็นการเปิดประตูสู่ธุรกิจ Non-Voice ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

วิธีปรับ Volume เสียง โดยใช้คีย์บอร์ดธรรมดาๆ

หลายคน คงเคยเห็นคีย์บอร์ดราคาแพงๆ มีฟังก์ชันการปรับเพิ่มลดเสียง ทำให้สะดวกต่อการใช้งานโดยไม่ต้องก้มลงไปปรับTuner ของลำโพง หรือที่ Volume Control ของวินโดว์ ทำให้พวกเราต้องควักกระเป๋าจ่ายให้กับค่าตัวที่แพงกว่า ของทั่วไป2-3 เท่าตัว

สำหรับ คนทุนหนาคงจะซื้อได้โดยไม่ลังเล แต่สำหรับอย่างเราๆท่านๆ คงอยากประหยัดงบในส่วนนี้ หรือบางคนต้องการจะ Modify คีย์บอร์ดบ้านๆ ให้สามารถปรับเสียงได้ง่าย ในขณะเล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง โทรศัพท์มาก็ Mute เสียงได้อย่างง่ายดาย หุหุ คีย์บอร์ดราคา 150 ก็ทำได้แบบนี้ก็สบายกระเป๋า แถมยังสะดวกอีกด้วย


 ผู้ช่วยที่ว่านี้คือ โปรแกรม 3RVX ซึ่งผู้พัฒนาได้แจกให้ใช้ฟรี สามารถใช้ได้ทั้ง XP/VISTA/7

หลังจากติดตั้งโปรแกรมแล้วก็เปิดโปรแกรม 3RVX แล้วจะพบคำสั่งมากมาย เรามาเริ่ม Modify มันเลยดีกว่า
1.เปิดโปรแกรมมาหน้าแรก General จะเป็นการปรับแต่งทั่วไป ในช่อง Custom นั้นคือค่าการปรับเสียง
2.หน้า Display
3.Hotkey setup ตั้งปุ่ม การทำงานเลือกตามใจได้เลย
4.Skin Chooser เลือกตามความชอบ
ตั้งค่าเสร็จแล้ว กด Save แล้วใช้งานได้เลยจ้า
มาทดสอบการทำงานกัน
Games :Warcraft 3 Dota  OK!
Media : AVI OK!
เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดให้คุ้มค่าและก็สะดวกรวดเร็วในการทำงาน